การแพทย์แผนจีนมีประวัติมายาวนานมากกว่า 5,000 ปี เกิดจากการเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติตลอดจนการปรับตัวให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ มนุษย์เราสมัยก่อนต้องมีการต่อสู้เพื่อดำรงชีวิต ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ต้องต่อสู้กับธรรมชาติ ตั้งแต่ความร้อนความหนาวของดินฟ้าอากาศ ความร้ายกาจของสัตว์นานาชนิด ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่คอยเบียดเบียน จากความสามารถของคนในการดัดแปลงธรรมชาติมารับใช้ตนประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อขุดหาอาหารและล่าสัตว์จากการใช้ไม้ใช้ ใช้หินมาเป็นเครื่องมือการถูกทิ่มแทงแล้ว ทำให้อาการป่วยไข้หาย จึงได้เก็บเป็นบทเรียน ค่อยๆพัฒนาจนมาเป็นเข็มที่เราใช้ฝังเข็มในปัจจุบัน จนเริ่มค้นพบและรู้จักการใช้ไฟซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นทางการแพทย์ เพราะมนุษย์เริ่มจากบริโภคของสุกจากไฟและใช้ไฟให้ความอบอุ่นร่างกายจึงกล่าวได้ว่า ตั้งแต่มนุษย์ดึกดำบรรพ์เกิดขึ้น ความเคลื่อนไหวด้านการแพทย์ก็ได้เริ่มต้น และมีการวิวัฒนาการมาตลอด
การแพทย์แผนจีนจึงถือว่าเป็นการรักษาแบบธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นที่ยอมรับทั่วโลกโดยเฉพาะแถบยุโรปเช่น ประเทศเยอรมันซึ่งถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีเทคโนโลยีที่ก้าวไกล โดยเฉพาะทางการแพทย์และยาแผนปัจจุบันที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก แต่ผู้คนเยอรมันก็ยังมุ่งหาคำตอบในการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติและมีการพิสูจน์และวิจัยต่างๆ นานา เพราะมนุษย์เรามัวแต่ที่จะเสาะหาการรักษาที่เร็วถึงแม้ต้องใช้เคมีจนลืมไปว่า ร่างกายเรานั้นสามารถรักษาตัวเอง แต่เราไม่เคยให้เวลากับตัวเองในการรักษาจิตใจเราก่อน ตัวอย่างเช่น เวลาเราป่วยเป็นโรคผิวหนังผื่นคัน หมอแผนปัจจุบันดูแผลไม่ถึงนาทีและให้ยาแก้คันเรามาตามอาการที่เราบอก คนไข้กินยาแล้ว ทายาแล้ว แต่ไม่หาย เพราะอะไร คำถามนี้ทางแพทย์แผนจีนจะใช้เวลาในการตรวจรักษาคนไข้มากกว่า ก่อนตรวจต้องมีการซักถามถึงสาเหตุ ตัวกระตุ้นที่เป็นเหตุให้เกิดอาการคัน อาจจะนอนดึก แพ้สารเคมีหรืออาหารบางอย่าง ร่างกายอ่อนแอ อากาศเปลี่ยนแปลง จนมาถึงขั้นตอนการแมะจับชีพจร ดูลิ้น ดูสีหน้าและฟังน้ำเสียงคนไข้ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถที่จะใช้เวลาแค่ 5 นาที แต่ทุกอย่างละเอียดอ่อนมากกว่านั้น บางครั้งพอคนไข้ได้เล่าถึงอาการ สาเหตุต่างๆ ซึ่งเป็นการรักษาไปในตัว ทำให้คนไข้มีกำลังใจ ปรับพฤติกรรมผิด ๆ ที่ทำให้เกิดโรค ทำให้หายดีขึ้นโดยเร็ว เพราะโรคทุกโรคเริ่มต้นจากการกินที่ผิด การนอนที่ไม่พอ การไม่ขับถ่าย เป็นต้น 3 สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย ซึ่งการรักษาแผนปัจจุบันหรือแม้แต่ยาแผนปัจจุบันบางอย่างยังไม่สามารถหาคำตอบสำหรับทุกโรคได้ เพราะร่างกายคนเราไม่ใช่แค่หุ่นยนต์ที่ส่วนใดเสียให้เปลี่ยนส่วนนั้น แต่เป็นร่างกายที่มีจิตใจ มีความรู้สึก อวัยะวะต่าง ๆ ทำงานร่วมกัน มีความซับซ้อนมากกว่านั้น การรักษาแบบผสมผสานจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในการนำข้อดีของการแพทย์แผนจีนกับการแพทย์แผนปัจจุบันมาใช้ร่วมกัน เพื่อให้เราสามารถที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่ทำร้ายร่างกายเราเองโดยใช้สารเคมีเพื่อผลลัพท์ที่เร็วแต่ต้องเสี่ยงกับสิ่งที่จะตามมา
ข้อแตกต่างระหว่างการแพทย์จีนกับการแพทย์แผนปัจจุบัน การมองแบบองค์รวม (整体观念) ถ้าเป็นแพทย์แผนปัจจุบันเวลารักษาจะมุ่งเน้นไปที่อวัยวะที่เกิดโรคนั้นๆ ยกตัวอย่างเรื่องการเป็นต่อมลูกหมากโต แพทย์แผนปัจจุบันจะมองว่าโรคเกิดที่ต่อมลูกหมากและจะมุ่งรักษาต่อมลูกหมากเพียงอย่างเดียว ขณะที่แพทย์จีนจะไม่มองว่ามีเพียงแค่ต่อมลูกหมากที่โตที่ทำให้เกิดการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน อั้นไม่อยู่ ปัสสาวะกระปริดกระปรอย แต่เป็นเพราะทุกอวัยวะ เช่น ต่อมลูกหมากที่โตจนบีบท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ ม้าม และไตที่อ่อนแอ เป็นต้น ถ้ามองแบบองค์รวมในเรื่องใหญ่ขึ้นมาอีกก็เช่น มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสิ่งแวดล้อมล้วนส่งผลกระทบ เช่น ความเครียด ความรวย ความจน เพื่อนไม่ดี หรืออากาศที่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นเวลาแพทย์จีนจะตรวจรักษาจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่เวลารักษากับแพทย์จีนแล้วต้องคุยกันเยอะ คุยกันยาว บางทีคุยจนคนไข้อารมณ์ดีโรคหายโดยไม่ต้องรักษาก็มี เพราะโรคมันอยู่ที่ใจ ทุกวันนี้ องค์กรอนามัยโลก WHO นิยามคำว่า”สุขภาพดี” คือต้องดีทั้งกาย ใจ และสังคม การวินิจฉัยโรคที่เฉพาะเจาะจง (辨证论治) โรคทางแพทย์จีนนั้นสามารถแบ่งหมวดหมู่ย่อยลงไปได้มากกว่าแพทย์แผนปัจจุบันอีก ยกตัวอย่างเรื่องการวินิจฉัยแยกโรคผู้ป่วยที่มีอาการของต่อมลูกหมากโตในมุมมองแพทย์แผนจีน
- พลังไตหยางพร่อง ปัสสาวะไม่คล่อง ติดขัด ไม่มีแรงเบ่ง สีหน้าขาวซีด เอว หัวเข่า รู้สึกเย็น ปวดเมื่อย ไม่มีแรง ปลายมือปลายเท้าเย็น ลิ้นสีซีด ฝ้าขาว ชีพจรอ่อนไม่มีแรง รักษาด้วยสมุนไพรฤทธิ์ “บำรุงและอุ่นพลังหยาง, ขับเคลื่อนพลังและขับปัสสาวะ”
- พลังไตหยินพร่อง ปัสสาวะไม่ออก, คอแห้ง หงุดหงิด ฝ่ามือ ฝ่าเท้าร้อน, อุจจาระเป็นก้อนแข็ง ลิ้นสีแดงเห็นเป็นวาว ชีพจรเบา เร็ว รักษาด้วยสมุนไพรประเภทที่มีฤทธิ์ “บำรุงธาตุน้ำ รักษาไตพร่อง”
- พลังกระเพาะม้ามพร่อง อาการจุกแน่นบริเวณท้องน้อย, เบื่ออาหาร, หายใจไม่ลึก พูดเสียงเบา ตัวลิ้นซีด, ฝ้าขาว บาง ชีพจรอ่อนแอ รักษาด้วยสมุนไพรประเภทที่มีฤทธิ์ “บำรุงกระเพาะม้าม เพิ่มพลัง ช่วยการกระจายของเหลว”
- การอุดกั้นของก้อนเลือดและพลัง การที่มีการคั่งค้างของเลือดหรือมีการอุดกั้นของการไหลเวียนเลือดและพลัง บริเวณต่อมลูกหมาก ขับปัสสาวะติดขัด ปวดแน่นท้องน้อย ตรวจลิ้นจะพบมีจุดจ้ำเลือด หรือตัวลิ้นมี สีม่วง ชีพจรฝืด รักษาด้วยสมุนไพรประเภทที่มีฤทธิ์ “ขับสลายการอุดกั้นของก้อน ขับปัสสาวะ”
- ความร้อนชื้นสู่ด้านล่าง ติดเชื้อ, ตรงกับการอักเสบติดเชื้อ) จะมีอาการปัสสาวะน้อย สีเหลือง ปัสสาวะร้อน ปวดขัด มีไข้, ปวดท้องน้อย, คอแห้ง ฝ้าบนลิ้นมีสีเหลืองมัน ตัวลิ้นแดง ชีพจรเร็ว รักษาด้วยสมุนไพรประเภทที่มีฤทธิ์ “ขับร้อน ขับชื้น”
- พลังตับอุดกั้น อารมณ์ทั้ง 7 มีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย จะมีผลโดยตรงต่อ การขับน้ำปัสสาวะก็เกิดปัญหา ปวดชายโครงลิ้นมีฝ้าเหลืองบาง ตัวลิ้นแดง ชีพจรฝืด รักษาด้วยสมุนไพรประเภท ที่มีฤทธิ์ “ใช้ยาระบายการอุดกั้นของตับ”
ตัวอย่างเช่น แพทย์แผนปัจจุบันนั้นอาการต่อมลูกหมากโตก็คืออาการต่อมลูกหมากโต ไม่มีการแบ่งย่อยลงไปอีก เวลาให้ยาจึงให้ยาทำให้ต่อมลูกหมากเล็กลง ซึ่งฤทธ์ยาจะกว้างและครอบคลุมมาก และมีผลข้างเคียงทำให้เสื่อมสมรรถภาพ แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่สามารถเจาะลงไปถึงสาเหตุของโรคได้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่ารักษาไปตามอาการซึ่งในบางโรคก็ต้องกินยาไปตลอดชีวิตเพราะสาเหตุของโรคไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง